ปัจจุบันเทคโนโลยีอุปกรณ์เคลื่อนที่ (MOBILE TECHNOLOGY) ได้เข้ามาสร้างความเปลี่ยนแปลงในการดำเนินธุรกิจและการปฏิบัติการคลังสินค้าทั่วโลก ด้วยขนาดที่กระทัดรัด ราคาไม่แพง และง่ายต่อการใช้งานมากขึ้น ทำให้ปัจจุบันเทคโนโลยีอุปกรณ์แบบสวมใส่ (WEARABLE TECHNOLOGY) มีความทันสมัยมากขึ้น ควบคู่ไปกับประสิทธิภาพในการใช้งานตลอดซัพพลายเชนที่น่าสนใจมากยิ่งขึ้น
แม้เทคโนโลยีอุปกรณ์แบบสวมใส่ อย่าง หูฟัง (Voice Headset) เครื่องติดตาม (Tracking Units) และแอพพลิเคชั่นที่ใช้คู่กับอุปกรณ์เหล่านี้จะถูกนำมาใช้งานมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว แต่เทคโนโลยีอุปกรณ์แบบสวมใส่อันทันสมัยก็ยังคงไม่หยุดการพัฒนา ขณะเดียวกันยังได้ถูกพัฒนาเพื่อช่วยให้การปฏิบัติการคลังสินค้าสมัยใหม่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นด้วย โดยเทคโนโลยีสมัยใหม่ อย่าง แว่นตาอัจฉริยะ (Smart Glasses) และเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริม (Augmented Reality) หรือที่รู้จักกันว่า AR ก็เตรียมเข้ามาสร้างแรงกระเพื่อมในตลาดเช่นกัน
นิตยสาร LM ฉบับนี้ จะเจาะลึกรายละเอียดของเทคโนโลยีแบบสวมใส่และการปฏิบัติการในคลังสินค้าของอุปกรณ์แต่ละชนิด
VOICE ASSISTANCE
เทคโนโลยีสั่งงานด้วยเสียง (Voice Assistance) เป็นหนึ่งในกลุ่มอุปกรณ์ที่ได้รับการพัฒนามากที่สุดในหมู่เทคโนโลยีชนิดนี้ ซึ่งเป็นที่คุ้นเคยกันดีสำหรับผู้ที่ทำงานในอุตสาหกรรม เพราะเป็นเทคโนโลยีที่ถูกนำมาใช้นานนับสิบปีแล้ว อีกทั้งยังสามารถใช้งานได้ง่ายและมีประสิทธิภาพ โดยอุปกรณ์ชนิดนี้ได้มีการนำมาใช้บอกทิศทางให้กับพนักงานในการหาตำแหน่ง จำนวน และสถานที่วางสิ่งของต่างๆ ภายในลังสินค้า โดยสามารถส่งข้อความเสียงเพื่อให้อุปกรณ์รายงานผลได้ทันทีผ่านหูฟัง หลังจากทได้มีการเชื่อมต่อกับซอฟต์แวร์ ERP ซึ่งจะทำให้ผู้ใช้งานทราบถึงรายการสิ่งของในคลังสินค้าได้แบบเรียลไทม์

โซลูชั่นการสั่งงานด้วยเสียงจำเป็นต้องได้รับการออกแบบเพื่อการใช้งานเฉพาะทางเช่นเดียวกับเทคโนโลยีแบบสวมใส่อื่นๆ อีกทั้งยังสามารถทำงานร่วมกันกับเทคโนโลยีแบบสแกน ยกตัวอย่างเช่น โทรศัพท์มือถือที่สามารถสแกนรหัส หรือเครื่องอ่านบาร์โค้ดแบบสวมนิ้ว (Ring Scanner) ได้ กล่าวโดยสรุปคือ เทคโนโลยีสั่งงานด้วยเสียงถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีแก่เจ้าของธุรกิจที่ต้องการสร้างความคุ้นชินกับเทคโนโลยีแบบสวมใส่
HAND UNITS
สายรัดข้อมือเพื่อสุขภาพ (Fitness Band) และนาฬิกาอัจฉริยะ (Smart Watch) กำลังเป็นที่นิยมอย่างมากในตลาดผู้บริโภค อุปกรณ์เหล่านี้มีบทบาทในภาคธุรกิจมาก่อน โดยเฉพาะการปฏิบัติการในคลังสินค้า ทั้งเครื่องอ่านบาร์โค้ดแบบสวมนิ้วและแบบสวมข้อมือถือเป็นการเปลี่ยนเครื่องสแกนบาร์โค้ดให้สามารถสวมใส่ได้แบบกระทัดรัด เพียงแค่ชี้มือหรือนิ้วไปที่สิ่งของนั้นๆ และกดปุ่มเพื่อสแกนบาร์โค้ด เท่านี้การทำงานในคลังสินค้าก็เป็นไปอย่างรวดเร็วและแม่นยำมากยิ่งขึ้น

การขยายตัวอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีที่เชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ตช่วยให้การใช้งานอุปกรณ์เหล่านี้เป็นรูปเป็นร่างขึ้น โดยที่ตลาดเทคโนโลยีแบบสวมใส่ยังคงเติบโตเพื่อขยายการใช้งานให้ดียิ่งขึ้น โดยข้อมูลจากแต่ละหน่วยย่อยยังสามารถนำไปใช้ในซอฟต์แวร์จำลองเพื่อปรับปรุงคลังสินค้าให้เหมาะสม อีกทั้ง การทำงานของ GPS ในเครื่องมือเหล่านี้จะมีประโยชน์มากขึ้นหากเป็นแอพพลิเคชั่นที่สามารถปิดการทำงานของหุ่นยนต์หรือเครื่องจักรได้อัตโนมัติหากมีการเกิดอุบัติเหตุหรืออันตรายต่อพนักงาน นอกจากนี้ ในอนาคตเทคโนโลยีไบโอเมตริกซ์ (Biometric) ที่ใช้ข้อมูลทางชีวภาพ เช่น ลายนิ้วมือ ในการยืนยันตัวตนของพนักงาน อาจจะสามารถตรวจสอบและบ่งชี้ได้ว่าการปฏิบัติการหรือสถานการณ์แบบใดที่สุ่มเสี่ยงไปสู่การเกิดอุบัติเหตุได้
NEXT-GENERATION TECHNOLOGY
เทคโนโลยีแว่นตาอัจฉริยะถือเป็นหลักชัยสำคัญสำหรับตลาดเทคโนโลยีแบบสวมใส่ ถึงแม้ว่าเป้าหมายในตอนแรกจะมุ่งไปที่กลุ่มผู้บริโภคเป็นหลัก แต่เทคโนโลยีนี้ก็ได้สร้างความน่าสนใจให้กับตลาดเทคโนโลยีแบบสวมใส่เช่นกัน
เนื่องจากแว่นตาอัจฉริยะได้ปูทางไปสู่โลกของเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริม (AR) สำหรับธุรกิจหลายประเภท ซึ่งช่วยยกระดับการติดต่อสื่อสารให้สามารถมองเห็นภาพจริงของอีกสถานที่หนึ่งผ่านแว่นตาด้วยองค์ประกอบต่างๆ ที่เสริมภาพและเสียง เทคโนโลยี AR พร้อมที่จะใช้อย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรมโลจิสติกส์และซัพพลายเชนในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปฏิบัติการในคลังสินค้า

ตัวอย่างของการนำแว่นตาอัจฉริยะและเทคโนโลยี AR ไปใช้ในการทำงาน เช่น พนักงานสามารถเห็นรายชื่อสินค้าที่ขณะใส่แว่นอัจฉริยะ เมื่อหยิบสินค้าชิ้นนั้นได้แล้ว แว่นจะทำการอ่านบาร์โค้ดและยืนยันว่าใช่สินค้าที่ต้องการหรือไม่ นอกจากนี้ ในการบรรจุสินค้าก็สามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะพนักงานจะได้รับการบอกเส้นทางที่ถูกต้องไปยังช่องทางเดินของชั้นสินค้าที่ต้องการและจุดที่ดีที่สุดแก่การวางสินค้านั้นๆ บนรถเข็น หรือในกรณีที่เกิดปัญหาระหว่างการทำงาน หัวหน้างานสามารถเข้าถึงการมองเห็นผ่านแว่นตาของพนักงานเพื่อแก้ปัญหาได้อย่างทันท่วงที

THE DIGITAL WAREHOUSE
เทคโนโลยีทั้งหมดนี้นำไปสู่ระบบการจัดการคลังสินค้าแบบดิจิทัลเพื่อแทนที่ระบบการจัดการแบบเก่า ซึ่งจะช่วยลดกระบวนการบันทึกข้อมูลซ้ำซ้อนและลดข้อผิดพลาด อย่างไรก็ตาม ภาคธุรกิจไม่ควรยึดติดกับระบบแบบใหม่เพียงอย่างเดียว แต่ควรดำเนินการบริการจัดการระบบคลังสินค้าและซัพพลายเชนที่มีอยู่เดิมด้วย เพราะแน่นอนว่าธุรกิจมีโอกาสที่จะได้รับประโยชน์จากการใช้เทคโนโลยีแบบสวมใส่ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ยังคงมีปัจจัยที่ต้องพิจารณาประกอบการตัดสินใจมากมายก่อนที่จะเลือกใช้โซลูชั่นประเภทนี้เต็มรูปแบบ
เนื่องจากการเปลี่ยนไปใช้เทคโนโลยีแบบสวมใส่จำเป็นต้องมีการกำหนดกลยุทธ์ด้านเทคโนโลยีอย่างเต็มรูปแบบ โดยต้องมีความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานของระบบสารสนเทศที่สามารถรองรับความต้องการทางธุรกิจที่มากขึ้น นอกจากนี้ การประเมินประโยชน์จากการใช้งานเทคโนโลยีแบบสวมใส่และเทคโนโลยีไร้สายให้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อที่เทคโนโลยีเหล่านี้จะถูกนำมาใช้งานอย่างเป็นประโยชน์และช่วยในการปฏิบัติการได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้ การเติบโตของธุรกิจ e-commerce และการค้าปลีกออนไลน์นับเป็นปัจจัยสำคัญ ที่ทำให้เกิดการพัฒนาเทคโนโลยีแบบสวมใส่อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากธุรกิจ e-commerce จะผลักดันให้เกิดความต้องการด้านการจัดการระบบคลังสินค้าที่มีความแม่นยำและมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ การพัฒนาระบบวิเคราะห์ข้อมูลใน big data ยังจะช่วยให้การจัดวางตำแหน่งเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งในคลังสินค้าและตลอดทั้งซัพพลายเชน

แม้ว่าการนำเทคโนโลยีแบบสวมใส่ไปใช้ค่อยๆ เป็นไปอย่างช้าๆ แต่เราก็ได้เห็นว่าองค์กรขนาดใหญ่หลายแห่งเริ่มหันมาใช้เทคโนโลยีชนิดนี้กันมากขึ้น การเปลี่ยนแปลงแต่ละอย่างต้องใช้เวลา แต่การใช้งานอุปกรณ์แบบพกพาในคลังสินค้าแบบดิจิทัลนี่เองที่จะเชื่อมร้อยการทำงานของผู้คนให้เป็นหนึ่งเดียวกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ อนาคตของคลังสินค้าแบบดิจิทัลจะทำให้การปฏิบัติการของซัพพลายเชนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งการพัฒนาความสามารถในขั้นตอนการผลิต การเพิ่มผลิตผล ยกระดับประสิทธิภาพและเพิ่มความปลอดภัย เพื่อช่วยให้การทำงานในอนาคตเป็นไปอย่างชาญฉลาดมากขึ้น โดยใช้กำลังน้อยลง
บทความจาก: http://thai.logistics-manager.com